คลังเก็บหมวดหมู่: ประวัติ

ประวัติ วัดมังกรกมลาวาส ย่านเยาวราช 

Published / by admin

วัดเล่งเน่ยยี่ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2414 (ค.ศ. 1871) โดยชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย วัดนี้ได้รับการตั้งชื่อในภาษาไทยว่า “วัดมังกรกมลาวาส” ซึ่งแปลว่า “วัดที่มีมังกรอันเป็นที่พักสงบสุข”

วัดมังกรกมลาวาส ในขณะที่ชื่อในภาษาจีน “เล่งเน่ยยี่” มีความหมายว่า “วัดมังกรเรืองฤทธิ์” โดยมังกรเป็นสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญในวัฒนธรรมจีน หมายถึงพลัง ความกล้าหาญ และความเจริญรุ่งเรือง

สถาปัตยกรรมของวัดเล่งเน่ยยี่เป็นแบบจีนแท้ที่ได้รับอิทธิพลจากสมัยราชวงศ์ชิง วัดนี้มีการออกแบบที่ละเอียดอ่อนและวิจิตรบรรจง ตัวอาคารประกอบด้วยหลังคาที่มีลักษณะเป็นโค้งและมีปลายยกสูง

ประดับด้วยรูปปั้นของสัตว์มงคลเช่น มังกร หงส์ และอื่นๆ ภายในวัดมีจุดสำคัญต่างๆ มากมาย เช่น ศาลเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย ศาลเจ้าเทียนฮั่วเจี๊ยะ และพระพุทธรูปสวยงามที่ถือเป็นสมบัติสำคัญของวัด

วัดเล่งเน่ยยี่เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมอย่างยิ่งสำหรับชาวจีนในกรุงเทพฯ ผู้คนมักมาเยี่ยมชมวัดเพื่อทำบุญ เสริมดวง และขอพรจากเทพเจ้าต่างๆ

ที่เชื่อว่ามีอำนาจในการคุ้มครองและเสริมสิริมงคล ในช่วงเทศกาลสำคัญของจีน เช่น เทศกาลตรุษจีน วัดนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาทำบุญไหว้พระ เพื่อเสริมสิริมงคลตลอดปี

นอกจากจะเป็นศูนย์กลางทางศาสนาแล้ว วัดเล่งเน่ยยี่ยังเป็นสถานที่ที่ชาวจีนและคนไทยเชื้อสายจีนในกรุงเทพฯ มารวมตัวกันในกิจกรรมต่างๆ

วัดนี้เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่เชื่อมโยงคนในชุมชนเข้าด้วยกัน ผ่านกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรม รวมถึงงานเทศกาลต่างๆ ที่จัดขึ้นที่นี่

วัดเล่งเน่ยยี่ไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ในแง่ของศาสนาและวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในการรักษามรดกทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของชาวจีนในประเทศไทย วัดนี้ได้รับการบูรณะและดูแลอย่างดีมาโดยตลอด เพื่อรักษาความงดงามและความเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมจีนไว้ให้คงอยู่ต่อไป

 

วัดเล่งเน่ยยี่เป็นสถานที่ที่ผู้คนมักจะนึกถึงเมื่อต้องการสถานที่เงียบสงบเพื่อทำสมาธิ และเป็นสถานที่ที่นำพาให้ผู้คนได้สัมผัสกับศิลปะและวัฒนธรรมจีนอย่างแท้จริง ความเป็นมาของวัดนี้เป็นเรื่องราวที่สะท้อนถึงความสำคัญของชุมชนชาวจีนในกรุงเทพฯ ที่ได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

ในปัจจุบัน วัดเล่งเน่ยยี่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ผู้มาเยือนวัดจะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยพลังศรัทธาและวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง นอกจากนี้วัดยังเป็นที่นิยมในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ อาทิ การไหว้เจ้าแก้ปีชง ที่เป็นประเพณีที่สำคัญของชาวจีน

วัดเล่งเน่ยยี่ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของย่านเยาวราช และยังคงเป็นสถานที่ที่ผู้คนมาเคารพบูชาและสักการะ เพื่อขอพรให้ชีวิตมีความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และความมั่งคั่ง

ทั้งนี้การรักษาและสืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมจีนที่เกี่ยวข้องกับวัดเล่งเน่ยยี่ได้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่สำหรับชุมชนชาวจีนในประเทศไทย แต่ยังสำหรับการรักษาความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงคนในชุมชนเข้าด้วยกัน

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    หวยดี

สิ่งที่ทำให้ กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง

Published / by admin

สิ่งที่ทำให้ กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทปลายบัด จ.บุรีรัมย์ เหมาะสมกับการจะเป็นมรดกโลกของประเทศไทย

กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทปลายบัด ตั้งอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศไทยที่มีความโดดเด่นทั้งด้านสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประวัติศาสตร์ของอารยธรรมขอม

กลุ่มเทวสถานเหล่านี้สะท้อนถึงการผสมผสานทางศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างอาณาจักรขอมกับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในยุคศตวรรษที่ 10 ถึง 13

 

  1. ปราสาทพนมรุ้ง

ปราสาทพนมรุ้งตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับแล้ว เป็นหนึ่งในศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของอาณาจักรขอมในประเทศไทย สถาปัตยกรรมของปราสาทพนมรุ้งถูกสร้างขึ้นตามหลักฮินดู โดยเฉพาะการบูชาพระศิวะ และปราสาทได้รับการออกแบบให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ซึ่งในวันวิษุวัตเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นและตกตรงกับช่องประตูหลักของปราสาท สะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งของช่างในการออกแบบที่ผสมผสานระหว่างวิศวกรรมกับธรรมชาติ

นอกจากนี้ ปราสาทพนมรุ้งยังมีลวดลายสลักหินที่ละเอียดอ่อนและวิจิตร รวมถึงปรากฏการณ์แสงที่ทำให้เกิดเงาพระศิวะบนบัวบานในวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงหน้าปราสาท ทำให้สถานที่นี้เป็นที่เชิดหน้าชูตาทางศาสนาและวัฒนธรรมที่สำคัญ

 

  1. ปราสาทเมืองต่ำ 

ตั้งอยู่ไม่ไกลจากปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำเป็นศาสนสถานอีกแห่งหนึ่งที่สะท้อนถึงศิลปะและสถาปัตยกรรมขอม สถาปัตยกรรมของปราสาทเมืองต่ำเป็นตัวอย่างของการสร้างศาสนสถานบนพื้นราบที่โดดเด่น มีบ่อน้ำ 4 มุมล้อมรอบด้วยพญานาค

ซึ่งแสดงถึงความศรัทธาต่อพระนารายณ์ สถาปัตยกรรมที่นี่สะท้อนถึงความเชื่อทางศาสนาของชาวขอมที่ผสมผสานกับธรรมชาติ การใช้บ่อน้ำที่สอดคล้องกับปรัชญาทางศาสนาทำให้สถานที่นี้มีความหมายลึกซึ้ง

  1. ปราสาทปลายบัด 

แม้ปราสาทปลายบัดจะมีขนาดเล็กกว่าปราสาทพนมรุ้งและปราสาทเมืองต่ำ แต่ก็ยังคงความสำคัญในฐานะศาสนสถานฮินดูที่สร้างขึ้นเพื่อถวายพระศิวะ ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมที่นี่สะท้อนถึงรูปแบบและวิธีการก่อสร้างที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของอารยธรรมขอม

แม้จะอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกล แต่ปราสาทปลายบัดยังคงรักษาความสวยงามและสำคัญทางศาสนาไว้อย่างครบถ้วน

กลุ่มเทวสถานเหล่านี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและศาสนาที่ลึกซึ้งระหว่างอาณาจักรขอมและพื้นที่ภาคอีสานของไทย นอกจากนี้ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาและการปรับตัวทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย

การรักษาความเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมไว้ได้อย่างครบถ้วน สถานที่เหล่านี้ยังคงเป็นแหล่งที่น่าสนใจในการศึกษาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม นอกจากนี้ ความสำคัญทางจิตวิญญาณของสถานที่เหล่านี้ยังเป็นที่เคารพและยกย่องจากชุมชนท้องถิ่น

สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทปลายบัด เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะได้รับการพิจารณาเป็นมรดกโลกของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการรับรู้และการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ต่อไป

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย      ole777 ทางเข้า

พีระมิดฮาวารา: สุสานสมบัตินิรภัยและสิ่งมหัศจรรย์แห่งกาลเวลา

Published / by admin

พีระมิดฮาวารา (Hawara Pyramid) ตั้งอยู่ในเขตฟายุม (Fayum) ประเทศอียิปต์ เป็นหนึ่งในพีระมิดที่สำคัญของยุคอียิปต์โบราณ สร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์ที่ 12 โดยฟาโรห์อเมนเอมแฮตที่ 3 (Amenemhat III)

ประมาณ 1859-1813 ปีก่อนคริสต์ศักราช พีระมิดนี้มีความสูงเดิมประมาณ 58 เมตร ปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 20 เมตร เนื่องจากการกัดกร่อนของกาลเวลาและปัจจัยธรรมชาติ

พีระมิดฮาวารามีชื่อเสียงในฐานะสุสานหลวงและสถานที่ฝังพระศพของฟาโรห์อเมนเอมแฮตที่ 3 ซึ่งสร้างขึ้นด้วยความประณีต มีโครงสร้างที่ซับซ้อนและหินที่ใช้ในการสร้างได้รับการเจียระไนอย่างละเอียด ทำให้พีระมิดนี้เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาหลายพันปี

 

สิ่งที่ทำให้พีระมิดฮาวารามีความโดดเด่นและน่าพิศวงคือ “เขาวงกตฮาวารา”

ซึ่งตั้งอยู่ภายในพีระมิด นักประวัติศาสตร์และนักสำรวจเชื่อว่าภายในเขาวงกตนี้มีห้องหลายร้อยห้องเชื่อมต่อกัน โดยแต่ละห้องอาจเก็บสมบัติและทรัพย์สินของฟาโรห์จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีห้องที่ออกแบบมาให้เป็นกับดักสำหรับป้องกันการบุกรุกและการขโมยสมบัติของฟาโรห์

เรื่องราวปริศนาของพีระมิดฮาวารายังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักโบราณคดี แม้จะมีการสำรวจและขุดค้นหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดของเขาวงกตนี้ อย่างไรก็ตาม หลายคนเชื่อว่าเขาวงกตนี้เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความลึกลับของฟาโรห์อเมนเอมแฮตที่ 3

นักสำรวจชาวอังกฤษชื่อ Flinders Petrie เป็นคนแรกที่สำรวจพีระมิดฮาวาราในปี 1888 โดยเขาพบโครงสร้างภายในที่ซับซ้อนและได้พยายามที่จะสำรวจห้องต่างๆ แต่ก็ยังไม่สามารถไขปริศนาของเขาวงกตฮาวาราได้ทั้งหมด

นอกจากนี้ พีระมิดฮาวารายังถูกกล่าวถึงในผลงานของนักประวัติศาสตร์โบราณหลายคน เช่น Herodotus และ Strabo ที่ได้บรรยายถึงความอลังการและความลึกลับของพีระมิดนี้

แม้ว่าพีระมิดฮาวาราจะถูกกัดกร่อนและถูกทำลายบางส่วนในกาลเวลาที่ผ่านมา

รวมถึงพีระมิดฮาวาราก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนเทียบเท่ากับพีระมิดอื่นๆ เช่น พีระมิดแห่งกีซ่า  แต่ความสวยงาม ความซับซ้อนแบะปริศนาที่เกี่ยวข้องกับสุสารสมบัตินิรภัย รวมถึงพีระมิดนี้ยังคงความยิ่งใหญ่และความลึกลับของมันยังคงอยู่ 

รวมถึงพีระมิดนี้ยังกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แท้จริงของยุคอียิปต์โบราณ นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ยังคงพยายามค้นคว้าและศึกษาเกี่ยวกับพีระมิดนี้เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับปริศนาและความลึกลับที่ยังไม่คลี่คลายของมัน

พีระมิดฮาวาราไม่เพียงแต่เป็นสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความศรัทธา และความลึกลับที่ยังคงมีความหมายสำหรับมนุษย์จนถึงปัจจุบัน

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย    Holiday Palace สมัคร

ประวัติของNike

Published / by admin

ไนกี้(Nike)นั้นเป็นแบรนด์ที่โด่งดังทั่วโลกซึ่งเป็นบริษัทที่ทำการผลิตเครื่องมือทางด้านกีฬาเช่นรองเท้า อุปกรณ์กีฬาต่างๆ เสื้อผ้า ซึ่งมีบริษัทที่ทำการเปิดเป็นบริษัทใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ที่ทำการก่อตั้งโดย บิลล์ บาวเวอร์แมน(Bill Bowerman) และ ฟิล ไนต์ (Phil Knight) 

ประวัติของNike

ที่มีการทำการสร้างหรือทำการก่อตั้งบริษัทไนกี้(Nike) ซึ่งก่อนที่จะมาก่อตั้งบริษัทนี้ทั้งบิลล์ บราเวอร์แมน(Bill Bowerman) เคยเป็นโค้ชให้กับนักวิ่งของมหาลัยมาก่อนและได้ทำการลงแข่งขันและมีผลงานมากมาย NCAA Outdoor championships ในปีค.ศ. 1962, 1964, 1965 และ 1970

ประวัติของNike ซึ่งนอกจากนี้ยังเป็นโค้ชให้กับนักวิ่งและทำให้ทีมชาติของอเมริกาได้แชมป์เหรียญทอง6สมัย ในโอลิมปิก ซึ่งทำให้บิลล์ บราเวอร์แมน(Bill Bowerman) นั้นได้ทำการรู้จักกับ ฟิล ไนต์(Phil Knight) ในแมชที่ ฟิล ไนต์(Phil Knight) นั้นได้ทำการเป็นนักวิ่งให้กับมหาวิทยาลัย ออริกอน (University Of Oregon) 

และทั่งคู่นั้นต้องการที่จะได้รองเท้าวิ่งสำหรับการแข่งขันวิ่ง ซึ่งทาง ฟิล ไนต์ (Phil Knight) นั้นได้ทำการศึกษาค้นขว้าข้อมูลมานั้นและได้รับข้อมูลมาว่ารองเท้ากีฬาของประเทศญี่ปุ่นนั้นได้ มีคุณภาพและมีราคาที่ดีกว่าของทางประเทศเยอรมัน ที่เป็นผู้นำในตลาดที่อเมริกาอยู่นั้นเอง

และในตอนที่ ฟิล ไนต์(Phil Knight) นั้นทำการเรียนจบจากมหาลัยและได้ทำการออกเดินทางไปในประเทศต่างๆ ซึ่งในตอนที่ ฟิล ไนต์(Phil Knight) ได้ทำการไปญี่ปุ่นนั้นได้ทำการพบกับ โอนิซูกะ ไทเกอร์ (Onitsuka Tiger) ที่ได้ทำการผลิตรองเท้าประเภทกีฬาของญี่ปุ่นนั้นได้ให้เข้ามาทำการส่งออกมาขายใน อเมริกา

และได้ทำการใช้ชื่อว่า Blue Ribbon Sports หรือBRS และได้ร่วมกันก่อตั้งกับ บิลล์ บราเวอร์แมน (Bill Bowerman) โดยที่ทั้งสองนั้นทำการแบ่งหน้าที่โดยการที่ ฟิล ไนต์ (Phil Knight) นั้นได้ทำหน้าที่ในส่วนของ การตลาดและการเงิน และ บิลล์ บราเวอร์แมน(Bill Bowerman) นั้น

ได้ทำการเป็นผู้ที่ออกแบบและพัฒนารองเท้า ซึ่งในปีค.ศ. 1970 บิลล์ บราเวอร์แมน(Bill Bowerman) นั้นได้ทำการทดลอง ทำพื้นลองเท้าแบบยางโดยที่ใช้เครื่องอบขนมในการทำพื้นรองเท้าและได้ทำให้พื้นรองเท้าแบบนี้ได้รับความนิยมจนมาถึงปัจจุบัน

และได้จดชื่อบริษัทที่มีชื่อว่าไนกี้(Nike) ในปี1971 แต่ในปี1972 นั้น ทาง โอนิซูกะ ไทเกอร์ (Onitsuka Tiger) นั้นได้ทำการแยกตัวออกมาเพราะได้เกิดความขัดแยงทางธุรกิจ และในปี1984 นั้นได้ทำการร่วมมือนักบาสชื่อดังนั่นก็คือ ไมเคิลจอร์แดน (Michael Jordan) และได้ทำการทำรองเท้าร่วมกันและโดยมีชื่อว่า Nike Air Jordan ซึ่งเป็นที่นิยมกันถึงปัจจุบันอีกด้วย

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้า sbobet ใหม่ล่าสุด

น้ำหอมนั้นมีที่มาอย่างไร

Published / by admin

น้ำหอมน้ำเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ใช้กันมากในปัจจุบัน ซึ่งน้ำหอมน้ำมีมากมายหลายยี่ห้อในปัจจุบันและส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการแต่งตัวไปสถานที่ต่างๆซึ่งน้ำหอมนั้นมีที่มาก็คือ ว่ากันว่าน้ำหอมนั้นมีการใช้ตั้งแต่ในสมัยก่อนหรือประมาณ 4000 ปีก่อนคริสตกาล

ซึ่งมีหลักฐานก็คือภาพวาดฝาผนังในวิหารของราชินีฮัตเชปชุต(Hatshepsut) ในประเทศอียิปต์ นั้นได้มีภาพวาดของผู้หญิงชาวอียิปต์กำลังชโลมน้ำหอมอยู่ซึ่งได้มีการคาดการณ์กันว่าผู้ที่เดินเรือในสมัยนั้นได้ทำการเข้ามาจากต่างดินแดน และได้เข้ามาทำการคิดค้นน้ำหอมขึ้นจากในสมัยนั้น

และน้ำหอมนั้นเป็นความหอมที่ได้รับจากไม้ยางหอม น้ำหอมนั้นมีที่มาอย่างไร ซึ่งน้ำหอมในสมัยนั้นผู้ผลิตหรือผู้ที่ทำน้ำหอมนั้นจะเป็นผู้หญิงชาวอียิปต์ในส่วนใหญ่ เพิ่งจะเป็นผู้ที่ได้รับมรดกตกทอดกันมาสู่รุ่นต่อรุ่น จากนั้นไม่นานน้ำหอมนั้นก็ได้เป็นที่รู้จักในสมัยของจักรวรรดิโรมัน

นิยมใช้น้ำหอมจากต้นมายังหอมเป็นหลักในการทำน้ำหอม (ไม้ยางหอมนี้จะมีอยู่ในแถบของอาระเบียลัดแถบโซนของโซมาเลีย) จะได้เพิ่มส่วนผสมที่หาได้โซนประเทศอินเดียเป็นหลักมาเป็นส่วนที่ผสมในการทำน้ำหอมของชาวโรมัน ซึ่งในสมัยของยุคกรีกโบราณนั้นชาวโรมันที่ร่ำรวย

มักจะใช้น้ำหอมกันซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคนในสมัยนั้นจะทำการฉีดน้ำหอมทุกพื้นที่ของบ้านไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านหรือทำการฉีดใส่กำแพงหรือฉีดตามกำแพง ในบ้านของพวกเขาและเศรษฐีในสมัยโรมันนั้นจะเลือกใช้น้ำหอมตามความต้องการของตัวเองเป็นส่วนใหญ่และไม่มีคำว่าเสียดายน้ำหอม

แต่ซึ่งน้ำหอมนั้น. น้ำหอมนั้นมีที่มาอย่างไร ได้เกิดความนิยมอย่างมากในสมัยช่วงยุคกลางโดยมีคนอาหรับนั้นได้ริเริ่มสร้างน้ำหอมด้วยวิธีการกลั่นเป็นอันดับแรกก่อน โดยเปลี่ยนจากพื้นที่ขนาดใหญ่ในอาณาจักรนั้นเป็นแปลงปลูกกุหลาบที่มีพื้นที่ใหญ่มากเพื่อจะนำมาสกัดเป็นน้ำหอมจนเป็นที่พูดถึงกันว่ากรุงแบกแดด

เป็นเมืองแห่งน้ำหอมโดยเฉพาะหรือเป็นเมืองแห่งน้ำหอม แต่ในสมัยนั้นชาวอาหรับยัง สามารถทำการคิดค้นสูตรน้ำหอมในรูปแบบใหม่คือการนำสารกลิ่นชะมดนำมาผสมกับปูนขาวแล้วจากนั้นนำไปสร้างสุเหร่าให้มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง ซึ่งสมัยหลังจากนั้นหรือสมัยคลูเสด

เป็นสมัยที่ได้มีการนำน้ำหอมจากชาวอาหรับไปทำการค้าขายในทวีปของยุโรปแต่น้ำหอมนั้นเป็นที่รู้จักจริงๆนั้นเริ่มเมื่อทศวรรษที่ 16 เมื่อ แคทเธอรีน เดอะ เมดิซี นั้นได้ทำการมาที่ประเทศอิตาลี ufabetฝ่ายบริการ เพื่อที่จะทำการแต่งงานกลับผู้ที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ของสมัยนั้นและนั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้น้ำหอมนั้นมีความรู้จักกันอย่างแพร่หลายจนมาถึงปัจจุบัน

ประวัติกีฬาเปตองในประเทศไทย

Published / by admin

          ช่วงประมาณปีพ.ศ 2518 เป็นช่วงที่คนไทยเริ่มรู้จักกีฬาเปตองกันโดยช่วงนั้นมีผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศแล้วไปรู้จักกีฬาเปตองนี้จากประเทศฝรั่งเศสแล้วนำเข้ามาเผยแพร่ให้กับคนไทยได้รู้จักโดยคนแรกที่นำมากีฬาเปตองมาแนะนำให้คนไทยเล่นนั่นก็คือนายจันทร์  โพยหาญ

ซึ่งแรกๆนั้นไม่มีใครรู้จักกีฬาเปตองกันเลยและลูกบลูที่ใช้ในการเล่นกีฬาเปตองนั้นก็ไม่มีขายในเมืองไทยด้วยทำให้คนไทยไม่นิยมเล่นกีฬาชนิดนี้กันมากนักอุปกรณ์ในการเล่นค่อนข้างหาลำบากซึ่งต่อมาได้มีการชักชวนเพื่อนอีก 2 คนซึ่งเป็นนักธุรกิจมักจะเดินทางไปต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง 

ให้มาร่วมลงทุนทำธุรกิจด้วยกันด้วยการสั่งซื้อลูกเปตองจากต่างประเทศเข้ามาขายในเมืองไทยและเมื่อมีอุปกรณ์ในการเล่นก็ทำให้คนไทยนั้นเริ่มรู้จักกีฬาเปตองกันมากขึ้นและนิยมเล่นกันมากขึ้นอย่างแพร่หลายซึ่งแรกๆกว่าที่จะเป็นที่ยอมรับนั้นก็ต้องมีการแนะนำการเล่นให้กับคนกลุ่มให

ญ่ดังนั้นหนึ่งในหุ้นส่วนของนายจันทร์นั่นก็คือนายดนัยจึงได้หาวิธีการให้คนไทยนั้นรู้จักกีฬาเปตองด้วยการเข้าไปทำความรู้จักกับหน่วยงานราชการทหารหรือตำรวจแล้วไปแนะนำกีฬาชนิดนี้ให้ทหารและตำรวจลองหัดเล่นกันแล้วก็เริ่มมีการขยับขยายเข้าไปสู่บริษัทเอกชนต่างๆ

และเมื่อผู้คนเริ่มรู้จักกีฬาเปตองมากขึ้นจึงได้มีการตั้งสมาคมกีฬาเปตองขึ้นมาโดยสมาคมนั้นเริ่มมีการจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 เดือนพฤศจิกายนปีพุทธศักราช 2519 ในช่วงแรกๆนั้นจำนวนสมาชิกของสมาคมกีฬาเปตองไม่ค่อยมีมากนะแต่ต่อมาในช่วงสมัยของสมเด็จพระศรีนครินทร์บรมราชชนนีได้เริ่มมีการนำกีฬาเปตองมาเล่นกันมากขึ้น

โดย นายดนัยหนึ่งในสมาชิกคนที่ริเริ่มนำกีฬาเปตองเข้ามาเล่นในเมืองไทยนั้นได้มีการนำกีฬาชนิดนี้ไปแนะนำให้สมเด็จพระศรีนครินทร์พระราชกรณีได้ลองส่งเล่นดูซึ่งหลังจากได้ทดลองเล่นแล้วพระองค์รู้สึกชอบเป็นอย่างมากดังนั้นพระองค์จึงมักชวนข้า ราชบริพารเล่นกีฬาชนิดนี้อยู่บ่อยครั้งจนในที่สุดคนก็เริ่มติดและเล่นกีฬาชนิดนี้กันมากขึ้นโดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมองว่าการเล่นกีฬาเปตองนั้นก็เหมือนกับการออกกำลังกาย

อย่างหนึ่งเพราะทำให้เล่นแล้วร่างกายแข็งแรงอีกทั้งยังสามารถเล่นกันแบบหลายคนได้เกิดความรักความสามัคคีในช่วงที่มีการเล่นกีฬาชนิดนี้ได้เช่นเดียวกันซึ่งเมื่อพระองค์ทรงชอบกีฬาชนิดนี้จึงได้มีการเข้าอุปถัมภ์กีฬาชนิดนี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและในที่สุดกีฬาชนิดนี้ก็ถูกให้เป็นกีฬาชนิดหนึ่งของการกีฬาแห่งประเทศไทย

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย   UFABET168

อารยธรรมเก่าแก่ของเมืองโคราช

Published / by admin

คุณเคยสงสัยหรืป่าวว่าที่อำเภอสูงเนินนั้นมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างไรที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และมีอยู่อายุมาหลายช่วงอายุคนนอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์โบราณคดีก็ยังให้ข้อสงสัยกันอีกว่าน่าจะมีวัถุโบราณชิ้นส่วนอื่นๆหลงเหลืออยู่บ้างจากนั้นก้ได้พบปราสาทเก่าแก่ที่มีอายุมาหลายพันปี

นอกจากโบราณสถาน3แห่งในเขตอำเภอสูงเนิน

ซึ่งล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับอิทธิพลศิลปะมาจากขอมโบราณทั้งสิ้นนั่นก็คือปราสาทเมืองแขกปราสาทโนนกู่และปราสาทเมืองเก่าปราสาทเมืองแขกเป็นปราสาทศิลปะขอมที่ได้สร้างจากหินทรายผสมผสานด้วยอิฐซึ่งถือว่ามีขนาดที่ใหญ่แห่งหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมาและยังมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมดูแตกต่าง

จากปราสาทของหลังอื่นๆที่ได้พบอยู่ในพื้นที่ไกล้เคียงแผ่นผังของการสร้างปราสาทนั้นด้านในสุดเป็นปราสาทสามหลังตั้งอยู่บนฐานด้วยกันหันหน้าไปทางทิศเหนือปราสาทประทานองค์กลางมีมุกต่อออกมาจากทางด้านหน้าแบบที่เรียกว่ามนดกแต่ปรางค์ด้านซ้ายขาวได้แตกหักเสียงหายเหลือแต่แค่เพียงฐาน เช่นด้วยกับอาคารสองหลังทางด้านข้างของปรางค์ประทาน

ซึ่งมันคงจะเป็นวิหารอาคารทั้งหมดได้ตั้งอยู่ภายในวงล้อมของกำแพงแก้วที่ก่อด้วยอิฐจากนั้นก้ได้มีการขุดคูน้ำค้นดินกั้นเอาไว้อีกชั้นหนึ่งจากนั้นถัดออกมาจากคูน้ำยังมีการสร้างกำแพงเป็นแนวที่สองโดยมีแนวทางเดินเชื่อมผ่านโคปูระหรือซุ้มประตากปรางค์ประทานสู่ภายข้างนอกและในส่วนภสยด้านนอกกำแพงจะมีด้านนอกอีกสองหลัง

ที่มีขนาดค่อนข้างที่จะใหญ่และได้สร้างหันหน้าเข้าหากันซึ่งในปัจจุบันนั้นจะเหลือแค่เพียงฐานและส่วนตัวของอาคารหน้าจะสร้างด้วยไม้จึงได้ผุกพังไปหมดจนไม่เหลือเคาโครงให้เห็นจากการที่ได้ขุดแต่งบริเวณปราสาทของกรม ศิลปากรก็ได้พบหลักฐานเป็นโบราณวัถุหลายชิ้นเช่นทบหลังศิสาจารึก

รวมไปถึงศิวารึงฐานศิวารึงและลูกโคนนทิซึ่งได้สามารถบ่งชี้ให้เห็นว่าปราสาทในเมืองแขกแห่งนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสตร์สถานในศาสนาพราหมณ์และทิไศวะนิกายหรือฮินดูเพื่อประกอบเป็นพิธีถวายพะรศิวะหรือพระอิศวรซึ่งได้เป็นเทพเจ้าที่ได้รับการยกย่องให้เป็นใหญ่เหนือเทพเจ้าทั้งปวง

  ห่างออกไปจากปราสาทเมืองแขกเพียงไม่กี่ร้อนเมตรคือที่ตั้งของ ปราสาทโนนกู่ ซึ่งได้เป็นปราสาทอีกหลังของเมืองโคราฆปูระปราสาทโนนกู่เป็นปราสาทขนาดเล็กสสร่างด้วยอิฐและหินทรายสันนิษฐานว่าได้สร้างขึ้นในเวลสไกล้เคียงกันกับปราสาทเมืองแขกคือในราวกลางศตวรรษที่15และยังเป็นศาสตร์สถานฮินดูเช่นเดียวกันแผ่นผังของการสร้างปราสาทเป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้ามีโคปูระและซุ้มประตูทั้งสองข้างคือทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

ประวัติตรุษจีนที่เกี่ยวกับพระเจ้าเตา

Published / by admin

ประวัติตรุษจีนที่เกี่ยวกับพระเจ้าเตา

ประเพณีตรุษจีนนั้นถือได้ว่าเป็นประเพณีของประเทศบ้านเขาที่มีมาตั้งแต่ในสมัยยุคโบราณแต่ก็ยังไม่มีใครนั้นเข้าใจได้ว่าวันตรุษจีนนั้นมีมาตั้งแต่ครั้งเมื่อไรกันหรืออาจจะเป็นในสมัยราชวงค์เซี่ยเมื่อ4000ปีที่แล้วในหนังสือของจีนที่ได้มีการระบุเอาไว้และได้เขียนยถึงประเพณีของจีนไว้

วันตรษจีนนั้นให้เรานั้นทำตัวให้สดชื่นเข้าไว้และพยายามใส่ชุดใหม่ๆ

ในวันตรุษจีนเมื่อความเชื่อกันว่าหากได้ใส่ชุดใหม่หรือมีจิตใจที่สดใสว่ากันว่าจะได้รับสิ่งดีๆเข้ามาและยังมีประเพณีที่ถือเหมือนๆกันอย่างหนึ่งว่าในตามประเพณีของจีนนั้นจะถือเรื่องมงคลตามประเพณีจีนของจะติดรูปเทพารักษ์และก็กราบกลอนเอาไว้ที่ประตูบ้านทั้งซ้ายและขาวเพื่อความเป็นสิริมงคลของครองครัวรูปเทพารักษ์ประจำตัวของจีนนั้น

มีเรื่องเล่ากันหลายอย่างแต่ที่รู้กันมาในแพร่หลายก็คือเรื่องพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ได้ทำผิดสันญาเป็นเหตุให้พญามงกรได้ถูกประหารชีวิตเมื่อพระเจ้ามงกรตายไปแล้วพระเจ้าถังไท่จงก็เลยถูกวิญญาณมงกรรบกวนจนนอนไม่หลับในที่สุดก็หาวิธีแก้โดยให้ทหารเอกมานอนเฝ้าหน้าประตูวิญญาณมงกรก็หายไป

แต่การที่ให้ทหารมายื่นอยู่ทั้งปีทั้งชาตินี้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราว่าทหารเอกก็จะต้องมีเวลาไปทำอย่างอื่นจากนั้นก็มมีผู้แนะนำให้เขียนรูปทหารเอกเอาไว้ที่ประตูแทนปรากฏว่าได้ผลเช่นเดียวกันจากนั้นก็ได้เกินเป็นประเพณีทำรูปทหารเอกเอาไว้ที่หน้าประตูสืบมาจากนั้นก็กลายมาเป็นสเทพารักษ์รูปทั้งสองนี้บางทีก็เขียนลงในแผ่นไม้ต้นท้อแขวนในที่ประตูในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่บางบ้านที่มีประตูบานเดียว

ก็จะมีรูปเจ้ารูปตูเดียวอีกชนิดหนึ่งคนจีนมีเจ้าหลายองค์เพราะฉะนั้นก่อนจะถึงวันตรุษจีนจะต้องทำความสะอาดบ้านเรือนเอาไว้คอยรับเจ้าเจ้าที่จะได้รับเชิญเข้ามาในบ้านนอกจากเจ้าประตูที่ว่าแล้วก็ยังมีเจ้าเตาซึ่งถือว่าเป็นเจ้าสำคัญประจำบ้านคือในเมืองจีนนั้นทุกบ้านจะมีเตาก่อด้วยอิฐโบกปูเหนือเตานี่ล่ะเป็นที่ประทับของเจ้าเตาตามรูปเขียนที่คนจีนนั้น

เขียนเจ้าเตามีหน้าตาค่อนข้างไปทางสี่เหลี่ยมหน้าสี่เลี่ยมหูใหญ่เคายาวมีประเพณีเกี่ยวกับเจ้าเตาอย่างหนึ่งก็คือเมื่อเจ้าสาวได้แต่งกันแล้วเข้ามาอยู่ในบ้านสามีซึ่งแรกที่จะต้องทำก็คือจะต้องไหว้เจ้าเตาและเมื่อมีลูกชายก็ต้องให้ไปไหว้เจ้าเตารวมไปถึงไม่ว่าจะมีคนเจ็บคนตายก็ต้องรายงานให้เจ้าเตาทราบเพราะในตอนปลายปีของทุกปีเจ้าเตาจะขึ้นไปเฝ้าฮ่องเต้

ประวัติสุดเฮี้ยนของจังหวัดอ่างทอง

Published / by admin

เรื่องของคนในจังหวัดอ่างทองอย่างสุดเฮี้ยนในช่วงของปีหนึ่งน้ำนั้นได้แห้งไปหมดลมหนาวพัดแรงทั้งวันถ้าเป็นปีอื่นก็จะได้เกี่ยวข้าวกันแต่ช่วงนี้น้ำไม่มีเลยไม่มีข้าวเกี่ยวพอดินแห้งก็ไถ่หน้าดิบปลูกถั่วเขียนพอให้ได้เอาไปขายซื้อข้าวมากินป้าจ่างก็รีบไถ่ดิบซื่อเมล็ดมาปลูกกับลูกสาวลูกเขยอาศัยก็ไม่ได้วันๆเอาแต่นั่งเหม่ออยู่ที่ใต้ต้นมะม่วงเมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้

พึ่งจะมาเป็นก็ตอนที่น้ำท่วมเขาโดย ผี เล่นงานเอาแล้วผีอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนั้นป้าจ่างก็เล่าให้คนในหม฿บ้านฟังว่าลูกเขยของตัวเองเป็นคนไม่กลัว ผี กลางคืนก็เดินแบบไม่กลัวอะไรมีวันหนึ่งได้เดินกลับมาบ้าน พร้อมกับของเก่าแก่สมัยโบราณชิ้นหนึ่งเห็นแล้วแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นรูปอะไรมันเหมือนกับ

เป็ดดิบเผา หรือ ห่านหงส์แต่ป้าเห็นว่าเป็นรูปเป็ด

ป้าแก่ก็เลยถามลูกเขยว่าไปเอามาจากไหนเขาได้มาจาก โคกวัดอิฐ เมื่อก่อนที่ตรงนั้นเป็น วัดร้าง เคยมีสิ่งก่อสร้างต่างๆแต่ว่าตอนหลังไม่ว่า โบสถ์ วิหาร ก็พังไปหมด เจดีย์ ก็ไม่เหลือ ที่เหลือก็จะมีแต่ก้อนอิฐแดงๆเก่าๆฝังดิบอยู่ นอกจากนี้เคยมีเด็กคนหนึ่งได้เก็บอิฐแดงมาเล่นที่บ้านก็เกิดเรื่องขึ้นปรากฏว่า ผี ที่วัดอิฐ

ตามมาถึงบ้านนอนเพ้อทั้งคืน ผี จะฆ่าและจะเอาไปอยู่ด้วยพ่อแม่จึงถามว่าไปทำอะไรมาลูกจึงบอกว่าไปเล่นที่วัดอิฐ และได้เก็บเอาอิฐที่วัดมาเล่นที่บ้านด้วยจากนั้นพ่อและแม่จึงรีบจุดธูปบอกกล่าวว่าจะรีบนำไปคืนในวันพรุ่งนี้จากนั้นก็ปกติ

แต่สำหรับลูกเขยของป้าจ่างของเอามาแล้วและได้เอาไปขายเขาว่ามันแปลกดี

พวกสะสมของเก่าแปลกๆจะต้องอยากได้ ไม่ว่าป้าจ่างจะพูดยังไงลูกเขยก็ไม่ยอมเอาไปคืนซึ่งมีคนถูกผีวัดอิฐตามหลายคนแล้วที่ไปเอาของ โคกวัดอิฐ มาไม่ตายก็บ้าๆบอๆพูดยังไงลูกเขยก็ไม่ยอมเชื่อแถมยังหัวเราะและยังบอกอีกว่ามีอะไรที่ไหนกลัวกันไปเอง

เช้าวันหนึ่งลูกเขยเขาก็ได้นำของไปขายที่ตัวจังหวัดตกเย็นก็เมามาเลยเพราะขายของเก่าได้เอาเงินกินเหล้าร้องเพลงเสียงดังเหมือนกับมีความสุขตกกลางคืนวันนั้นลูกเขยป้าจ่ายก็ร้องเพ้อขึ้นมาและลุกขึ้นวิ่งไปรอบบ้านร้องกลัวแล้วๆไม่เอาแล้วๆเหมือนโดนผีวัดโคดอิฐเล่นงานส่วนแม่และลูกสาวก็จุดธุปก็ไม่หายส่วนคนที่ซื้อของเก่าไปก็โดนบีบคอและบอกว่าไม่เอาแล้วจะเอาไปคืนพอเช้าคนที่ซื้อของเก่าไปก็รีบมาจากตัวจังหวัดเอาของเก่ามาให้เขา

ให้เขานั้นได้เอาไปคืนที่เก่าแต่ลูกเขยนั้นไม่รู้เรื่องไม่รู้ภาษาอะไรแล้วป้าจ่างกับลูกสาวจึงได้นำไปคืนเองและได้จุดธูปบอกกล่าวขอให้ยกโทษให้กับลูกเขยเขาด้วยแต่ก็ไม่หายพาไปหาหมอ หาไปหาพระต่างๆแต่ก็ไม่ดีขึ้นสติก็ไม่กลับมา และนี่ก็คืออาถรรพ์ ของโคกวัดอิฐ