สะพานยักษ์ทางด่วนใหม่ของไทย พระราม3-ดาวคะนอง

Published / by admin

สะพานยักษ์ทางด่วนใหม่ของไทย ซึ่งวันนี้เราจะมาทุกคนไปทำความรู้จักกับโครงการสะพานพระราม9แห่งที่2หลายๆคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีโครงการนี้แต่หลายคนก็เคยได้ยินกันมาบ้างแล้วเราจะพาทุกคนไปพบกับโครงการสะพานพระราม9/2หรือเป็นสะพานพระราม9แห่งที่2นั่นเอง

โดยหลายคนก็อาจจะรู้จักสะพานพระราม9ที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของทางพิเศษหรือที่เรียกกันว่าทางด่วนเฉลิมมหานครทางด่วนขั้นที่1สายดาวคะนองท่าเรือที่ได้เป็นสะพานขึงที่แรกในประเทศไทยหรือใครหลายคนก็อาจจะเรียกกันติดปากว่าเป็นสะพานแขวนแต่ที่จริงแล้วมันคือสะพานขึง

นอกจากนี้ในอีกไม่นานประชาชนในประเทศไทยก็จะมีสะพานพระราม9แห่งที่2ได้เป็นสะพานคู่ขนานที่ได้ทำการก่อสร้างชิดกับสะพานพระราม9เดิมเลยโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทยก็ได้กำลังทำการก่อสร้างแห่งที่4งานโยธาสะพานขึงคู่ขนานสะพานพระราม9โดยบริษัท ช. การช่าง จำกัดมหาชนที่ได้เป็นผู้รับเหมาเงิน 6,636ล้านบาท

ดังนั้นก็ได้เป็นหนึ่งในห้าของสัญญาของโครงการทางด่วนสายใหม่พระราม3ดาวคะนองวงแหวนรอบนอกกรุงเทพด้านตะวันตกระยะทางประมาณ18.7กิโลเมตรรวมราคาในการก่อสร้างประมาณ3หมื่น29ล้านบาท

สำหรับงานก่อสร้างของสะพานพระราม9/2ผู้รับเหมาได้ขึ้นฐานรากที่จะเชื่อมตัวสะพานขึงบริเวณใต้ทางด่วนบางโค่แล้วและยังรวมไปถึงงานเสาเข็มรากฐานเสาสะพานขึงที่เป็นสองเสาหลักแต่ฐานนั้นจำเป็นจะต้องมีเสาเข็มมากกว่า80ต้นคาดว่าน่าจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ4-5เดือนถึงจะแล้วเสร็จก่อนที่จะได้ทำการเริ่มงานในส่วนอื่นๆอีกต่อไป

เพราะฉะนั้นแล้วในสะพานแห่งใหม่นี้ได้มีรูปแบบเป็นสะพานขึงแบบเสาคู่ได้มีความยาวของช่วงสะพานประมาณ450เมตรนะยะทางประมาณ2กิโลเมตรขนาด8ช่องจราจรไปกลับด้านละ4ช่องจราจรเพื่อจะทำให้โครงสร้างเป็นระนาบเดียวกับโครงสร้างของสะพานพระราม9ที่เป็นแบบเสาเดียวตรงแต่ทำคานเชื่อมอยู่ด้านบนไม่ใช่เสาคู่และรวบขึ้นมาเป็นเสาเดียวขึ้นด้านบนเหมือนอย่างสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม

เนื่องจากนี้ก็จะประกอบไป8ช่องจราจรจึงมีความจำเป้นที่จะต้องออกแบบขึ้นเสาคู่ให้มีความแข็งแรงตามมาตรฐานสากลและมีความสวยงามส่อดคล้องไม่ไปขัดกับสะพานพระราม9แต่อย่างไรก็ตามการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ออกแบบให้สะพานใหม่ที่มีความชันน้อยกว่าสะพานพระราม9

โดยสะพานระดับใหม่จะเริ่มระดับชั้นที่สองที่ได้มีความสูงระดับหนึ่งหรือระดับพื้นดินประมาณ10เมตรเทียบเท่าระดับสะพานลอยคนข้ามรถวิ่งขึ้นลงได้อย่างสะดวกขึ้นจากความราดชันระดับห้าลดลงมาเหลือความราดชันระดับสามเหมือนวิ่งขึ้นสะพานข้ามแยกทั่วไป

 

สนับสนุนโดย.    gclub สล็อตฟรี

ประวัติของบรูซลีนักแสดงในตำนาน

Published / by admin

ประวัติของบรูซลี โดยบรูซ ลี  ได้เกิดเมื่อวันที่27พฤษภาคม ค.ศ.1940 บรูซ ลี  เกิดในตระกูลครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นนักแสดงงิ้วมีคุณแม่เป็นลูกครึ่งเยอรมันจีน

โดยตัวเขาเองได้เป็นลูกคนที่สี่ในบรรดาลูกทั้งหมดห้าคนและเนื่องจากใมนช่วงที่เขานั้นเกิดพ่อแม่ของเขาได้เดินทางไปทำการแสดงงิ้วทั่วอเมริกาเขาก็เลยได้รับสัญชาติอเมริกันไปโดยปริยาย

ซึ่งในช่วงวัยเด็กเล็กๆของบรูซลีก็เหมือนกับเด็กเกเร

โดยทั่วไปนี้แหละคือืเตะต่อยกันกับเพื่อนและฝีมือของเขานั้นไม่ใช่เรื่องเล่นเลยทำให้ฝรั่งที่ตัวใหญ่วิ่งหนีไปตามๆกันแน่นอนแล้วว่าชีวิตตอนเป็นเด็กแบบนี้เขาจะต้องเชิญเข้าห้องปกครองเป็นว่าเล่นต่อมาอาจารย์ในห้องปกครองเบื่อที่จะเชิญเขามาในห้องปกครองก็เชิญให้ออกจากโรงเรียนเสียเลย

โดยหลังจากที่ได้โดนไล่ออกจากโรงเรียนไปแล้ว บรูซลลีก็ได้ถูกส่งตัวใหไปอยู่กับครอบครัวของเพื่อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหลังจากนั้นเขาก้ได้ทำงานหาเลี้ยงตัวเองเป็นทั้งครูสอนเต้นพนังงานเสริฟตามร้านอาหารจีนคือในตอนนั้นมีอะไรให้ทำก็ทำหมด

จนกระทั่งเขานั้นได้ส่งเสียตัวเองให้เรียนจนจบปริญญาที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันได้และในตอนที่ยังเป็ยวัยรุ้นหลีเสี่ยวหลงหรือมงกรน้อยก็ได้รับโอกาศในวงการในโรงภาพยนตร์มากถึงโดยงานส่วนหนึ่งเขาก็ได้รับมาจกาคนรู้จักของพ่อเขานี่แหละ

เนื่องจากความสามารถที่ขั้นได้มาตั้งแต่เด็กด้วยในการเล่นงิ้ว

และเขายังได้มีพรสวรรค์ในการแสดงว่ากันว่าขนาดอยู่หน้ากล้อง บรูซลีเขาสามารถทำการแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติมากแลตรงจุดนี้เองมันก็ได้ทำให้เขาเข้าสู่ในวงการนักแสดงจึงทำให้เขานั้นมีผลงานในการแสดงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้บรูซลีได้เรียนจบมัธยมปลายบรูซลีก็มีผลงานในการแสดงมากกว่ายี่สิบเรื่องเลยทีเดียวในเวลาต่อมาบรูซลีก็ได้เข้าสู่ในวงการบันเทิงเอาแบบจริงจังเลยและเขาก็ได้มีโอกาศที่ได้สร้างชื่อเสียงจริงๆเป็นครั้งแรกเมื่อโปรดิวเซอร์ได้พบเห็นบรูซลีในขณะที่กำลังสอนการต่อสู้แบบในงานศิลปะกังฟูต่อสู้อยู่

ซึ่งโปรดิวเซอร์คนนี้เขาก็เลยชวนให้บรูซลีไปทดลองด้านหน้ากล้องแน่นอนว่าเขาก็ได้ผ่านการทดสอบตอนนแรกบทที่บรูซลีนั้นได้รับเป็นบทแสดงซีรี่ย์ของละครเรื่องหนึ่งที่มีชื่อว่าหน้ากากแดนอาละวาดในเรื่องนี้เขาก็ได้รับบทเป็นพระลองที่มีนามว่าเคโต

เพราะฉะนั้นแล้วนบทของเขานั้นจะเป็นตัวละครที่คอยช่วยพระเอกโดยการใช้มวยกังฟูแต่ด้วยความที่เขานั้นได้เป็นเป็นนักแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าไปๆมาๆบทของบรูซลีเด่นกว่าตัวละครในเรื่องเสียอีกหลังจากนั้นบรูซลีก็เชิญไปออกรายการมากมายและได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักแสดงฮอลลีวูด

 

สนับสนุนโดย.    ufabet ฝากเงิน ออโต้

เรื่องราวของนาฬิกา

Published / by admin

เรื่องราวของนาฬิกา เป็นสิ่งที่เราใช้ดูเวลาและกำหนดสิ่งต่างๆและในบางคนยังไม่รู้ที่มาของมันและไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

ในสมัยก่อนมนุษย์ยังไม่รู้จักคำว่านาฬิกาและใช้ชีวิตโดยที่ให้ธรรมชาติกำหนด เพราะเหตุนั้นดวงอาทิตย์จึงเป็นที่บอกเวลาหรือนาฬิกาสิ่งแรกที่มนุษย์ใช้ดูเวลา เฮอรอโดทัส (Herodotus) หรือนักประวัติศาสตร์ผู้ซึ่งได้บันทึกไว้ ประมาณ 3500 ปีก่อน มนุษย์ใช้นาฬิกาแดด

และนอกจากนี้นาฬิกาแดดเป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลกอีกด้วย โดยที่ใช้การบอกเวลาโดยที่ต้องอ่านค่าแสงที่ตกกระทบลงมาบนขีดเครื่องหมายที่ได้กำหนดไว้และต่อมาพวกชาวกรีกโบราณก็ได้ทำการคิดค้นหรือพัฒนา นาฬิกาที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยที่ไม่ต้องใช้แสงแดด โดยที่ เรียกว่า clepsydra หรือ นาฬิกาน้ำ และนาฬิกานี้จะทำงานโดยที่ใช้นำภาชนะดินเผาหรือถาชนะที่เจาะรูที่มีน้ำบรรจุเต็มภาชนะและเวลาที่จะทำการดูเวลาจะต้องทำการเจาะที่ก้นของภาชนะจะทำให้ น้ำจะทำการไหลออกจากภาชนะทีล่ะน้อย

เรื่องราวของนาฬิกา ลักษณะเหมือนการขโมยน้ำ หรือ ลักน้ำ

และเพราะเหตุนี้ชาวกรีกโบราณจึงจะกำหนดเวลาได้จากน้ำที่ไหลลออกช้าๆ จนหมดภาชนะว่า 1 clepsydra และนาฬิกาน้ำจะต้องมีการเติมน้ำใหม่ทุกครั้งที่จะดูเวลา หรือ ทุกครั้งที่น้ำหมด หรือ หมดเวลา 1clepsydra และในฤดูหนาวจะไม่สามารถทำการดูเวลาได้เพราะเนื่องจากน้ำมีการแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง

และในปี ค.ศ.1364 Giovanni de Dondi ซึ่งเป็นบุคคลแรกของโลกที่ทำการสร้างนาฬิกาแบบการใช้เข็มบอกเวลาเป็นหน่วย ชั่วโมง และเป็นนาฬิกาที่มีขนาดใหญ่อย่างมาก โดยจะมีเข็มหรือลูกศรจะทำการบอกตำแหน่งที่ตี้งของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และจะทำการบอกตำแหน่งของดาวเคราะทั้งอีก 5 ดวงอีกด้วย

ช่างทำกุญแจชาวเยอรมันที่มีชื่อว่า Peter Henlein บุคคลนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้สร้างนาฬิกาเรือนแรกของโลก ที่ต้นปี ค.ศ.1500 แต่นาฬิกาที่สร้างก็ยังคงมี ขนาดใหญ่ น้ำหนักเยอะ และยังคงมีขนาดไม่แตกต่างจากเดิมมากอีกด้วย

แต่ในปี ค.ศ. 1500 Peter Henlein ก็ได้ทำการสร้างนาฬิกา

ที่ทั้งขนาดเล็กและน้ำหนักลดลงเหลือเพียงแค่ 1กิโลกรัมเพียงเท่านั้น และในปีที่ ค.ศ.1641 กาลิเลโอทำการสังเกตเห็นถึงการแกว่งของตะเกียงในแต่ล่ะครั้งตะเกียงจะทำการแกว่งเท่ากันเสมอ เพราะเหตุนั้นกาลิเลโอจึงทำการสั่งให้ลูกชายทำการสร้างนาฬิกาจากลูกตุ้มและเรียกว่า นาฬิกา เพนดูลัม(pendulum)

ปี ค.ศ. 1657 Christian Huygens ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นคนที่ชื่อชอบในนาฬิกาที่ใช้หลักการของ เพนดูลัม(Pendulum) ในการควบคุมการทำงานของนาฬิกา

ปี ค.ศ. 1980  วอร์เรน มอร์ริสัน ได้เป็นผู้ริเริ่มในการสร้างนาฬิกา ควอต์ขึ้นเฉพาะเป็นนาฬิกาข้อมือ และเป็นนาฬิกาที่เที่ยงตรงมาก ในปี ค.ศ.1980 ซึ่งเป็นช่วงที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการผลิต ชิป(chip) ที่เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมที่ใช้ในการผลิตนาฬิกา ซึ่งจะสามารถทำการเก็บข้อมูลและยังเป็นเครื่องคิดเลขได้อีกด้วย

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.   gclub สล็อตฟรี

ประเพณีเกี่ยวข้าว

Published / by admin

          ประเพณีเกี่ยวข้าว   เราอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของประเพณีดำนากันมาบ้างแล้วซึ่งวิธีการดำนานั่นก็คือการที่ชาวบ้านนั้นจะนำต้นกล้าซึ่งกำลังอยู่ในอายุที่พอเหมาะไปทำการปักชำไว้ในนาหลังจากนั้นก็จะรอให้ต้นกล้านั้นเจริญเติบโตกลายเป็นต้นข้าวซึ่งการทำประเพณีดำนานั้นก็คือเป็นช่วงของการที่เอาต้นกล้ามาปลูกในนานั่นเอง

แต่ประเพณีการดำนานั้นมักจะเป็นการทำร่วมกันระหว่างคนในชุมชนซึ่งมาพึ่งพาอาศัยกันช่วยเหลือกันในการดำนาและหลังจากที่มีการดำนาเสร็จเรียบร้อยแล้วชาวบ้านแต่ละหลังก็จะดูแลที่นาของตนเองดูแลต้นข้าวให้มีความเจริญงอกงามและเมื่อต้นข้าวเจริญงอกงามมีเมล็ดข้าวออกรวงสีทอง

ซึ่งก็เห็นว่าเป็นช่วงที่สามารถเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตรได้แล้วชาวบ้านก็จะมีประเพณีอีกอันหนึ่งนั่นก็คือประเพณีการเกี่ยวข้าวนั่นเองซึ่งประเพณีนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากการทำประเพณีดำนาเพราะก็ถือว่าเป็นการเกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันในการเกี่ยวข้าวโดยชาวบ้านจะมีเคียวมาคนละเล่มและลงมือเกี่ยวข้าวร่วมกันหลังจากนั้นก็เก็บผลิตผลทางการเกษตรนำไปตากให้แห้ง

แล้วนำข้าวเปลือกไปเก็บไว้ในยุ้งฉางซึ่งประเพณีการเกี่ยวข้าวนั้นในสมัยโบราณมักจะมีการจัดกิจกรรมกันเพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและไม่น่าเบื่อดังนั้นไม่ว่าชายหรือหญิงที่พากันไปช่วยกันเกี่ยวข้าวก็มักจะพากันร้องเพลงเกี้ยวพาราสีกันขณะที่เกี่ยวข้าวไปด้วยทำให้มีความสนุกสนานเพลิดเพลินแล้วไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้น

แต่อย่างใดซึ่งคนในสมัยโบราณนั้นคนหนุ่มสาวมักจะพากันช่วยกันเกี่ยวข้าว ส่วนคนเฒ่าคนแก่นั้นก็จะมีหน้าที่ของหาอาหารมาคอยเลี้ยงแขกที่มาช่วยเกี่ยวข้าวนั่นเองทำให้เกิดความรักความสามัคคีกันในหมู่ของเพื่อนบ้านสำหรับประเพณีเกี่ยวข้าวถือประเพณีอย่างหนึ่งของคนไทยที่มีการทำมานานตั้งแต่ในอดีต

ซึ่งการที่คนในหมู่บ้านร่วมใจกันมาช่วยกันเกี่ยวข้าวก็จะทำให้เกิดความรักความสามัคคีกันของคนในชุมชนเกิดความปรองดองกันสำหรับประเพณีการเกี่ยวข้าวนั้นมักจะมีการเรียกอีกแบบก็คือการลงแรงและการลงแขกสำหรับการลงแรงนั้นก็คือการที่เราเอาแรงมาช่วยในเรื่องของการเกี่ยวข้าวและเมื่อเรามาช่วยบ้านหลังดังกล่าวแล้ว

ในอนาคตเมื่อบ้านเราต้องการที่จะเกี่ยวข้าวบ้านที่เราเคยไปช่วยเหลือในการเกี่ยวข้าวก็จะกลับมาช่วยเหลือเราเช่นเดียวกันนั่นก็คือการลงแรงซึ่งเป็นการช่วยเหลือกันส่วนเป็นการลงแขกนั้นก็จะเป็นการเกี่ยวข้าวเช่นเดียวกันเพียงแต่ว่าในการเกี่ยวข้าวนั้นจะทำในวันเดียวแล้วเสร็จเลยซึ่งการลงแขกนั้นจะเป็นการช่วยเหลือกันทั้งหมู่บ้านแต่ถ้าหากเป็นการลงแรงนั้นก็อาจจะเป็นแค่เพื่อนบ้านการช่วยเหลือกันไม่กี่หลังคาเรือนเท่านั้น

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย.   สมัคร sbobet โดยตรง

ตํานานหมู่บ้านลัดดาแลนด์กับความน่ากลัว

Published / by admin

หมู่บ้านลัดดาแลนด์ ที่จังหวัดเชียงใหม่มีหมู่บ้านโครงการหนึ่ง ที่ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีหลังจากที่มีการทำโครงการนี้เสร็จสิ้นขึ้นมาซึ่งคนที่จะเข้ามาอยู่ในโครงการนี้ได้จะต้องเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยเนื่องจากว่าบ้านแต่ละหลังนั้นขายในราคาหลายล้านบาททำให้หมู่บ้านนี้กลายเป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านไฮโซมีแต่เศรษฐีเท่านั้นที่จะอาศัยอยู่

       ด้วยความที่มีแต่คนรวยเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้จึงทำให้มีโจรเข้ามาขโมยทรัพย์สินภายในหมู่บ้านในโครงการนี้อยู่บ่อยครั้งแต่แล้วเรื่องของความน่ากลัวก็เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งเจ้าของนั้นเป็นชาวต่างชาติ

และโดยปกติและชาวต่างชาติคนนี้จะไม่ค่อยได้อยู่ประเทศไทยบ่อยมากนักนานๆจึงจะกลับมาพักที่บ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ดังนั้นเขาจึงได้มีการตั้งสาวใช้คนหนึ่งไว้คอยดูแลบ้านหลังดังกล่าวซึ่งโดยปกติแล้วสอนใช้จะอยู่บ้านหลังดังกล่าวนั้นคนเดียว

           แต่เราอยู่มาวันหนึ่งเพื่อนบ้านก็สังเกตเห็นว่าสาวใช้คนดังกล่าวนั้นได้หายตัวออกไปจากบ้านแล้วไม่มีใครเห็นอีกเลยผ่านไปไม่กี่วันปรากฏว่าเพื่อนบ้านได้กลิ่นเหม็นเหมือนกับมีสไตล์โชยออกมาจากบ้านหลังดังกล่าวซึ่งเพื่อนๆสังเกตเห็นว่าในช่วงเวลากลางวันบ้านหลังดังกล่าวนั้นจะเงียบสงบแต่หากเป็นช่วงเวลากลางคืนก็จะเห็นสาวใช้ออกมารดน้ำต้นไม้และทำความสะอาดบ้านซึ่งเพื่อนบ้านเองก็ไม่ได้สงสัยอะไรแต่ก็พยายามที่บอกให้สาวใช้ให้ตรวจสอบบ้านให้ดี

            เนื่องจากว่ากลิ่นเหม็นเน่ายังคงรุนแรงออกมาจนในที่สุดเพื่อนบ้านก็ทนไม่ได้จึงมีการโทรไปแจ้งให้เจ้าของบ้านทราบและนำมาสู่การแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาดูบ้านหลังดังกล่าวทำให้พบว่าในบ้านหลังดังกล่าวนั้นมีศพซ่อนอยู่ซึ่งก็คือศพของสาวใช้คนดังกล่าวนั้นเองโดยส่งตั้งแต่วันนั้นถูกฆาตกรรมแล้วนำไปแช่เอาไว้ในตู้เย็น

             และเรื่องราวความน่ากลัวก็เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราช่วงเวลายามเย็นนั้นคนในหมู่บ้านที่ผ่านมาที่หน้าบ้านหลังดังกล่าวมักจะเห็นสาวใช้ที่เสียชีวิตแล้วออกมารดน้ำต้นไม้อยู่เป็นประจำ จนทำให้คนในหมู่บ้านนั้นเกิดความหวาดกลัวและเริ่มทยอยกันย้ายออกจากหมู่บ้านโครงการดังกล่าว 

       เนื่องจากว่าเวลากลางคืนคนอื่นหมู่บ้านนั้นมักจะโดนผีสาวใช้ออกมาหลอกหลอนจึงทำให้หมู่บ้านลัดดาแลนด์แห่งนี้ตกกลางคืนทุกคนก็จะปิดประตูบ้านไม่มีใครกล้าที่จะออกมาเดินนอกบ้านเลยท้ายที่สุดแล้วด้วยความหวาดกลัวทำให้หมู่บ้านนี้กลายเป็นหมู่บ้านร้างในที่สุด

 เพราะไม่มีใครกล้าที่จะอยู่อาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้นั่นเองและหลังจากนั้นชื่อเสียงความน่ากลัวของหมู่บ้าน ลัดดาแลนด์ก็กลายเป็นที่โจษจันกันไปทั่วจึงทำให้บรรดาคนที่ชอบล่าท้าผีพากันมาในหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อทำการพิสูจน์ความน่ากลัวว่ามีจริงหรือไม่

           แน่นอนว่าคนที่มาพิสูจน์ก็จะได้พบเรื่องราวความน่ากลัวตามที่มีการรื้อกันจนกลายเป็นตำนานที่พูดถึงกันมาอย่างยาวนานกว่า 10 ปีและในปัจจุบันมีเกียรติมีการพูดถึงความน่ากลัวของหมู่บ้านลัดดาแลนด์แห่งนี้อยู่นั่นเอง 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย   แจ้งฝาก-ถอน ufabet

ปริศนาตำนานของแม่นาค

Published / by admin

ปริศนาตำนานของแม่นาค สำหรับเรื่องของผีแม่นาคเราเชื่อว่าทุกคนต้องเกิดความสงสัยอย่างแน่นอนและได้ตั้งคำถามว่าสรุปแล้วเรื่องของผีแม่นาคนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าตำนานแม่นาคพระโขนงหรือผีแม่นาคพระโขนงนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่เราขอบอกตรงนี้เลยว่าที่เราไปหาข้อมูลมาแล้วเราขอฟันธงตรงนี้เลยว่าเรื่องของผีแม่นาคพระโขนงตรงนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง

ซึ่งเราอยากจะบอกว่าตามข้อมูลที่เราได้ไปเจาะลึกมาเขาได้บอกว่า แม่นาคพระโขนงนั้นได้เป็นเพียงหญิงไทยโบราณสมัยก่อนที่เกิดอยู่ในสมัยปลายรัชกาลที่3หรือต้นรัชกาลที่4เพียงแค่นั้นและได้มีหลักฐานการยืนยันการมีอยู่ของแม่นาคพระโขนงจริงๆอีกด้วย

โดยหลักฐานการยืนยันจาก ณ ตรงนี้ ได้เป็นภาพถ่ายของชาวต่างชาติ

ที่เขาได้เข้ามาถ่ายพื้นที่พระโขนงเอาไว้และในรูปนั้นเขาได้อ้างว่ามีรูปของแม่นาคพระโขนงอยู่นั่นเองและตรงนี้มันยังได้มีความจริงอยู่อีกหนึ่งอย่างที่เราอยากจะบอกนั่นก็คือแม่นาคคนนี้เขาก็ได้มีสามีและมีลูกด้วยแต่สามีที่เราพูดตรงนี้ชื่อนายมากหรือเปล่า

ดังนั้นเราต้องขอบอกตรงนี้เลยว่า ไม่ใช่ เพราะว่าสามีตามหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกหลักฐานทางหงน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนบันทึกเอาไว้เขาได้บอกเอาไว้อีกว่าสามารถของแม่นาคนั้นได้มีชื่อว่า นายชุ่ม โดยเขาก็ไม่ได้มีอาชีพการงานเป็นนายทหารหรือรับราชการทหารแต่อย่างใดแต่ นายชุ่ม เป็นตัวโขนในร่างทศกัณฐ์ที่มีน่าที่ร้องเล่นเต้นแสดงความบันเทิงให้กับข้าราชการในวังนั่นเอง

เนื่องจากนี้ตรงส่วนนี้มันก็ได้ตรงตามตำนานอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือนายชุ่มหรือพ่อมาก

ที่เราเข้าใจเข้าไปในวังเป็นจำนวน1ปีตรงนี้ ไม่ใช่ ปริศนาตำนานของแม่นาค แต่เขาไปกลับวังไปค้างอยู่วันานพอสมควรเนื่องตากว่าเขาได้ถูกเรียกตัวเขาไปทำงานในวังนั่นเองและที่สำคัญไปกว่านั้นนั่นก็คือที่มันตรงตามตำนานที่เขาได้เล่ากันอยู่นั่นก็คือแม่นาคท้องและได้ตายทั้งกลมจริงๆ

ดังนั้นเรื่องของผีแม่นาคตรงนั้นถ้าเอาตามข้อมูล ก.ศ.ร.กุหลาบ เขาได้บอกเอาไว้ว่าผีแม่นาคตรงนี้ได้เกิดขึ้นตรงที่ว่าลูกๆของแม่นาคทั้งสองคนที่เกิดขึ้นมาก่อนน่านี้เขาไม่ตองการให้พ่อของเขาหรือนายชุ่มไปมีภรรยาใหม่เขาเลยได้ทำการหลอกชาวบ้านด้วยการแต่งตัวเป็นแม่นาคมายืนอยู่ตรงท่าเรือน่าบ้านและทำการหลอกหลอนชาวบ้านไปว่าเป็นแม่นาคที่มายืนเรียกพ่อมาอยู่

เพื่อจะให้ชาวบ้านได้ไปบอกต่อๆกันว่าแม่นาคยังไม่ตายหรือบางคนบอกต่อๆต่อว่าแม่นาคเป็นผีและตรงนี้พอได้มีการบอกต่อๆกันไปมันก็เลยอาจจะทำให้ผู้หญิงไม่กล้าเข้ามายุ่งกับพ่อมากและทำให้พ่อมากไม่มีภรรยาใหม่นั่นเอง

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    เปิดยูส ขั้นต่ำ 100

ตำนานแม่นากพระขโนงคือผีเฮี้ยนเป็นเรื่องจริงหรือไม่?

Published / by admin

ซึ่งหลังจากที่แม่นาคได้เสียชีวิตไปแล้วก็ได้มีชาวบ้านที่พายเรือไปมาบริเวณบ้านของแม่นาคก็จะพบเห็นแม่นาคออกมายืนรอร้องหาพี่มากอยู่บนสะพานริมน้ำน่าบ้านของเธออยู่บ่อยๆและตรงจุดนี้มันก็ทำให้ใครหลายๆคนในหมู่บ้านได้บอกต่อๆกันในเรื่องของผีแม่นาคว่าเจอมาได้รูปแบบนั้นแบบนี้

โดยมันได้ทำให้ใครหลายๆคนได้เอาไปพูดกันปากต่อปากและทำให้ใครหลายๆคนไม่กล้าขับเรือผ่านบ้านของแม่นาคเลยหรือบางคนไม่กล้าแม้แต่จะเยียบผ่านหน้าบ้านของแม่นาคเลยก็มีเช่นกันและหลังจากที่เวลาได้ผ่านไปเรื่อยๆพ่อมากเขาก็ได้เสร็จสิ้นเวลาการเป็นข้าราชการทหารและได้เดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน

ในขณะที่พ่อมากกำลังเดินทางอยู่นั้นเขาก็ได้สังเกตุเห็นความผิดปกติเกิดขึ้น

นั่นก็คือรอบๆตัวเขาไม่ว่าจะเป็นบ้านไหนก็แล้วแต่เมื่อเห็นพ่อมากขับเรือผ่านทุกๆจะอยู่ในอากานหวาดระแวงและจะพูดหรือจะส่งข้อความอะไรสักอย่างถึงเขาแต่เขาก็ไม่สามารถรับรู้ได้ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไรและบางคนถึงขั้นที่ว่าเจอพ่อมากต่อน่าต่อตาและวิ่งหนีไปเลยก็มีเช่นกัน

ตำนานแม่นากพระขโนง นอกจากนี้เขาก็ยังสงสัยกันแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้จนสุดท้ายพ่อมากเขาก็ได้กลับมาถึงน่าบ้านแล้ววกำลังจะเดินเข้าไปในบ้านแต่อยู่หมอตำแยก็ได้เดินเข้ามาทักพ่อมากว่าแม่นาคตายไปนานแล้วอย่ากลับเข้าไปในบ้านเลยตอนนี้ผีแม่นาคเฮี้ยนมากตามหลอกหลอนคนไม่ว่าเล่นเลย

ดังนั้นหลังจากที่หมอตำแยพูดเสร็จแม่นาคก็ปรากฏตัวออกมาอยู่หลังพ่อมากพร้อมกับพูดเสียงยานๆว่าใครตายหรอจ๊ะหนูยังยืนอยู่ตรงนี้เลยและหลังจากที่หมอตำแยได้เห็นแม่นาคยืนอยู่ในสภาพคนแบบนั้นเขาก็ตกใจอย่างรุนแรงและวิ่งหนีไปโดนที่ไม่พูดอะไรเลย

ซึ่งตรงนั้นมันเลยยิ่งทำให้พ่อมากสงสัยไปมากกว่าเดิมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ในบ้านสองต่อสองฉันสามีภรรยาเหมือนเดิมนั่นเองในตอนแรกทั้งคู่ก็ได้ใช้ชีวิตกันไปปกติเรื่อยๆแต่แล้วพอถึงจังหวะที่พ่อมากจะออกไปข้างนอกนั้นจู่ๆแม่นาคจะพยายามยื้อหรือพยายามที่จะบอกพ่อมากว่าอย่าออกไปข้างนอกเลยข้างนอกมันอันตรายต้องการอะไรบอกเดี๋ยวเขาจะไปซื้อให้

เนื่องจากนี้ในเวลานั้นพ่อมากไม่สามารถออกไปจากบ้านได้และถูกกักตัวอยู่ในบ้านเลยก็ว่าได้และพอเวลาผ่านไปพ่อมากก็ยิ่งสงสัยว่าทำไมเพื่อนบ้านถึงไม่เดินเข้ามาทักทายเลยทำไมถึงไม่มีเรือขับผ่านน่าบ้านเลยและทำไมแม่นาคถึงต้องกักขังตัวเองเอาไว้ในบ้านเปรียบเสมือนเก็บความลับอะไรเอาไว้อยู่

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.   ufabet สมัครยังไง

ตำนาน ปลาคู่ ตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ ของราศีมีน

Published / by admin

ตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ ของราศีมีน  สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องของโชคชะตาราศีต่างๆและเคยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของราศีต่างๆมาบ้างน่าจะพอรู้จักเกี่ยวกับเรื่องของราศี  โดยตามโหราศาสตร์นั้น ราศีมีทั้งหมดด้วยกัน 12 ราศีนั่นเองซึ่งแต่ละราศีนั้นก็จะมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปโดยในวันนี้เราจะมาพูดถึงราศีมีน

             สำหรับตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ของราศีมีนนั้นก็คือปลา 2 ตัวคู่กันลักษณะของปลาทั้ง 2 ตัวนั้นจะว่ายวนเข้าหากันโดยหัวของปลาตัวหนึ่งจะอยู่ตรงบริเวณหาของปลาอีกตัวหนึ่งทำให้มองดูแล้วเป็นวงกลมตามตำนานโบราณๆว่ากันว่าปลาทั้ง 2 ตัวนั้นเป็นปลาแม่กับปลาลูก

            ซึ่งปลาทั้ง 2 ตัวนั้นก็คือเทพเจ้ากรีกในสมัยโบราณนั้นเองส่วนที่มาของการเป็นปลาคู่งั้นก็เพราะว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ทำให้เทพเจ้าทั้งสององค์ต้องกลายร่างเป็นปลา ตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ ของราศีมีน

        ตามตำนานเล่าว่าเทพเจ้า  Aphrodite กับ เทพเจ้า Eros  ซึ่งเทพเจ้าทั้ง 2 องค์นี้เป็นแม่กับลูกกันทั้งคู่ได้ไปงานเลี้ยงซึ่งจัดงานเลี้ยงเชิญเหล่าบรรดาทวยเทพทั้งหลายที่อยู่บนฟ้ามาทำการกินเลี้ยงเฉลิมฉลองกันแต่ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนุกสนานเพลิดเพลินในงานเลี้ยงนั้นเอง

             อยู่ๆก็มีอสูรกายมาทำลายงานเลี้ยงพร้อมทั้งพยายามที่จะฆ่าเหล่าบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายที่อยู่ในงานเลี้ยงด้วยอสูรกายตอนนี้มีชื่อว่า  Typhon ซึ่งว่ากันว่าอสูรกายตอนนี้เป็นลูกของเราแม่ธรณีไกอา 

              โดยพระแม่ธรณีไกอานี้ พระองค์ทรงไม่ชอบเหล่าบรรดาทวยเทพ ทั้งหลาย เรียกได้ว่าเป็นศัตรูกันเลยก็ว่าได้ดังนั้นเมื่อรู้ว่า บรรดาทวยเทพที่อยู่สวรรค์ ได้มีการลงมาจัดงานเลี้ยง ที่โลกมนุษย์ และสถานที่จัดงานเลี้ยงก็อยู่ใกล้ใกล้กับแม่น้ำไนล์

          ทำให้ พระแม่ธรณีไกอา จึงได้ส่งลูกชายของพระนางมาพังงานเลี้ยงและสั่งให้ฆ่าบรรดาเทพที่มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้   ซึ่งแน่นอนว่าลูกชายของพระแม่ธรณีไกอานั้นมีความเก่งกาจสามารถมากเพราะได้รับฉายาว่าเป็นอสูรกาย 100 หัวที่สำคัญมีอาวุธเป็นลูกไฟซึ่งสามารถพ่นออกมาได้ทั้งปากและตา

      และเมื่อ   Typhon  ไปเปิดตัวในงานเลี้ยงเหล่าเทพต่างก็พากันหลบหนีเพราะเกรงว่าจะ   Typhon สังหารนั่นเอง และหนึ่งในเหล่าเทพที่พากันหลบหนีก็คือ  เทพเจ้า  Aphrodite กับ เทพเจ้า Eros โดยวิธีการหลบหนีของ เทพเจ้า  Aphrodite กับ เทพเจ้า Eros นั้น

              ทั้งสองพระองค์ได้มีการแปลงกายร่างเป็นปลา เพื่อ พากันหลบหนีเพราะสถานที่หลบหนีที่ใกล้ที่สุดก็คือแม่น้ำไนล์นั่นเอง   และระหว่างที่ทำการหลบหนีนั้นทั้งคู่ได้มีการเอาเชือกถูกบริเวณที่หางของกันและกันเอาไว้เนื่องจากว่าป้องกันเหตุการณ์พลัดหลงกันนั่นเอง

          อย่างไรก็ตามหลังจากที่ เทพเจ้า  Aphrodite กับ เทพเจ้า Eros  สามารถหนีรอดจากการถูกสังหารได้ เทพีอาเธน่า  จึงได้มีการนำสัญลักษณ์ปลา 2 ตัวที่อยู่คู่กันเอาไปไว้บนท้องฟ้าโดยให้ความหมายว่าปลาทั้ง 2 ตัวนี้โชคดีมากที่สามารถหนีรอดจากอสูรกายได้จึงให้สัญลักษณ์ของปลาคู่นี้แทนความหมายของคำว่าโชคดีนั่นเอง  และนี่คือตำนานที่ทำให้เกิดเป็นสัญลักษณ์ของราศีมีนขึ้นมา 

 

สนับสนุนโดย.    ufabet ฝากเงิน ออโต้

ประวัติ การล่มสลายของเมืองนาคพันสิงหนวัตินคร ซึ่งเป็นเมืองก่อนที่จะมีการสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น

Published / by admin

การล่มสลายของเมืองนาคพันสิงหนวัตินคร อย่างที่เรารู้กันดีว่าเมืองเชียงใหม่นั้นมีการปกครองมาหลายช่วงอายุคนซึ่งนับตั้งแต่เริ่มมีการปกครองมาถึง 4 ยุคด้วยกันก็ผ่านไปแล้วมากกว่า 700 ปีดังนั้นวันนี้เราจะมาพูดถึงประวัติของเมืองเชียงใหม่ก่อนที่จะมีการสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นมาหรือที่เรารู้กันดีว่าเป็นช่วงยุคของพุทธศักราช 1837 นั่นเอง

        โดยในยุคดังกล่าวนั้นยังไม่มีการสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นมาชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ดังกล่าวนี้จะถูกแบ่งออกเป็นชุมชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ต่างก็มีชื่อชุมชนเป็นของตนเองโดยชุมชนที่เกิดขึ้นนั้นจะตั้งตนเองว่าเป็นเมืองอย่างเช่นเมืองพะเยาหรือแม้แต่เมืองหิริพูนชัย   รวมถึงยังมีเมืองต่างๆอีกมากมายนอกจากเมืองแล้วถ้าหากชุมชนเหล่านั้นมีการก่อสร้างอยู่แถวบริเวณลุ่มแม่น้ำและเป็นชุมชนขนาดเล็กก็จะเรียกตัวเองว่าเวียงอย่างเช่นเวียงศรีทวง   เวียงปรึกษา เวียงสุทโธ  เวียงมลิกา    หรือแม้แต่เวียงฮ่อรวมถึงเวียงฝางก็มี

             และยังมีเวียนอื่นๆอีกมากมายที่ยังไม่ได้มีการกล่าวถึง  ซึ่งในสมัยอดีตนั้นพื้นที่บริเวณนี้เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ทางเหนือตอนบนมีแม่น้ำไหลผ่านและเป็นแม่น้ำหลักและแม่น้ำสำคัญที่ทำให้คนในพื้นที่นั้นสามารถสร้างชุมชนขึ้นมาและเมื่ออยู่กันอย่างหนาแน่นเป็นชุมชนขนาดใหญ่จึงได้มีการสร้างวัฒนธรรมของแต่ละชุมชนของตนเองขึ้นมาซึ่งในช่วงที่มีการสร้างชุมชนเวียงและเมืองนั้นเป็นช่วงที่ยังไม่ได้มีการสร้างเมืองเชียงใหม่ยังไม่ได้มีการรวมชุมชนเหล่านั้นมาเป็นชุมชนเมืองแต่อย่างใดและแม่น้ำสายสำคัญของพื้นที่ดังกล่าวนั้นก็คือแม่น้ำโขงและแม่น้ำกกนั่นเอง

            ว่ากันว่าในอดีตกาลเคยมีการเล่าถึงตำนานของผู้คนที่มาอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้กับแม่น้ำโขงซึ่งในขณะนั้นได้มีการตั้งชื่อเมืองว่าเมืองนาคพันสิงหนวัตินคร    โดยมีการก่อสร้างเมืองนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองสุวรรณโคมคำคมและอยู่ใกล้กับแม่น้ำโขงมากเลยทีเดียว  ว่ากันว่าในอดีตนั้นเมืองแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากแต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเกิดขึ้นจนทำให้เมืองนี้เกิดการล่มสลายซึ่งสาเหตุของการล่มสลายของเมืองนี้นั่นก็คือเมื่อช่วงประมาณปีพุทธศักราช 1547

             ได้มีชาวบ้านคนหนึ่งได้ไปหาปลาในลุ่มแม่น้ำโขงและบังเอิญว่าไปจับปลาไหลเผือกมาได้ตัวหนึ่งซึ่งปลาไหลเผือกตัวนั้นมีขนาดใหญ่โตมโหฬารเป็นอย่างมากคาดการณ์กันว่าจะมีความยาวถึงประมาณ 7 วาเลยทีเดียวหลังจากที่ได้ปลาไหลเผือกมาแล้วชาวบ้านก็พากันนำปลาไหลเผือกตัวดังกล่าวมาฆ่าและประกอบอาหารแจกจ่ายให้กับคนภายในเมืองได้ยินหลังจากนั้นในช่วงเวลากลางคืนก็เกิดฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นมีแผ่นดินไหวและทำให้น้ำในแม่น้ำโขงซัดกระหน่ำเข้ามาภายในเมืองทำให้ประสบปัญหาน้ำท่วมเมืองและนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาราชวงศ์ดังกล่าวก็สูญสิ้นทันที

 

สนับสนุนโดย.   UFABET เว็บหลัก

ตํานานทุ่งกุลาร้องไห้

Published / by admin

เชื่อว่า หลายคนคงรู้จักทุ่งกุลาร้องไห้กันเป็นอย่างดี  ตํานานทุ่งกุลาร้องไห้ เพราะที่นี่เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดของทางภาคอีสาน อยู่ในเขตพื้นที่ของจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดอื่นๆรวมทั้งสิ้น 5 จังหวัดด้วยกัน  และมีขนาดพื้นที่กว้างประมาณ 2 ล้านไร่

ซึ่งทุ่งกุลาร้องไห้นี้ว่ากันว่าสามารถครอบคลุมอำเภอได้ถึง 13 อำเภอด้วยกัน จึงนับได้ว่าเป็นสถานที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลเป็นอย่างมากเป็นพื้นที่ราบที่ถือว่ามีความใหญ่โตมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเลยก็ว่าได้

          สำหรับจังหวัดที่ครอบคลุมพื้นที่ของทุ่งกุลาร้องไห้นั่นก็คือ   จังหวัดสุรินทร์       จังหวัดร้อยเอ็ด   จังหวัดมหาสารคาม    จังหวัดศรีสะเกษ   และจังหวัดยโสธร   สำหรับประวัติความเป็นมาของทุ่งกุลาร้องไห้นั้นมีการเล่าขานกันมาตั้งแต่ในสมัยโบราณโดยเรื่องเล่านั้นเกิดขึ้นได้ใจความว่ามีคนพม่าซึ่งในสมัยก่อนนั้นเรียกคนกลุ่มนี้ว่ากุลา   เป็นชนเผ่าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นชนกลุ่มเผาขนาดเล็กเดินทางมาจากเมืองเมาะตะมะ    โดยพวกเขาพากันเดินทางเพื่อจะมาค้าขายในประเทศไทย

          ตํานานทุ่งกุลาร้องไห้ ระหว่างที่มีการเดินทางมานั้นก็มีการเดินทางผ่านทุ่งที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล  โดยมาถึงบริเวณพื้นที่ดังกล่าวไม่ว่าจะเดินทางนานแค่ไหนพวกเขาก็ไม่เดินผ่านเส้นทางตรงพรุ่งนี้ได้สักทีเนื่องจากว่าทุ่งบริเวณนี้มีพื้นที่กว้างขวางมากอาหารการกินที่พวกเขาเตรียมมานั้นก็ร่อยหรอลงทีแถมแดดก็ยังร้อน 

บางวันก็ต้องเจอกับลมแรงและบางวันก็ยังมีฝนตกหนัก  ว่ากันว่ากลุ่มชนเผ่ากุลานั้นเป็นชนเผ่าที่มีความอดทนและขยันขันแข็งเป็นอย่างมากแต่เนื่องจากเดินทางมาถึงบริเวณพื้นที่ราบแห่งนี้ปรากฏว่าความอดทนที่ได้ขึ้นชื่อลือชาของชนเผ่ากลุ่มนี้นั้นเจอพื้นที่รอบนี้เข้าไปก็ทำให้พวกเขาหมดแรง  

         เมื่อชนเผ่ากลุ่มนี้เดินทางอย่างไรก็ไม่ผ่านทุกแห่งนี้สักทีพวกเขาจึงพากันนั่งร้องไห้เพราะพื้นที่แห่งนี้นับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่แห้งแล้งเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีต้นไม้ขนาดใหญ่คอยให้ร่มเงาดังนั้นตลอดระยะเวลาในการเดินทางผ่านทุ่งแห่งนี้พวกเขาจึงเดินทางด้วยการเดินตากแดดตากฝนบริเวณทุ่งแห่งนี้ก็มีแต่ต้นหญ้าขึ้นเต็มทุ่งไปหมดเรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่ยากลำบากเป็นอย่างมากจนในที่สุดพวกเขาก็ทนไม่ไหวยังพากันนั่งร้องไห้ดังนั้นที่นี่จึงถูกเรียกว่าทุ่งกุลาร้องไห้นั่นเอง                                                          

            ปัจจุบันทุ่งกุลาร้องไห้แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีตำนานที่มีการพูดถึงกันปัจจุบันมีการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและไม่ได้เป็นเพียงแค่ทุ่งหญ้าไม่มีต้นไม้อีกต่อไปแล้ว

 

สนับสนุนโดย.   gclub slot เล่นผ่านเว็บ